ทำไมการทำน้ำยากันซึมถึงสำคัญ?
ปัญหาใหญ่ที่สุดในการใช้หินธรรมชาติ คือหินมักจะเกิดคราบสกปรก ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทิ้งเเก้วน้ำเย็นไว้บนโต๊ะโดยไม่ใช้ที่รองเเก้ว เพียงเเปปเดียว ก็จะเกิดคราบน้ำบนหน้าหิน นั่นเพราะว่าหินธรรมชาติมีความเป็นรูพรุน คล้ายกับรูขุมขนของคนเรา เวลาที่น้ำหรือของเหลวต่างๆไหลลงลงไปในรูเเล้ว จะทำให้หินนั้นเปลี่ยนสีไป ดังนั้นทางเราจึงทาน้ำยากันซึมเพื่อปกปิดรูพรุนนั่นเองฃ ตัวน้ำยากันซึมเองมีส่วนผสมของซิลิโคนขนาดเล็กอยู่ด้วย จะช่วยเติมเต็มรูพรุนให้เต็ม กันไม่ให้น้ำไหลซึมเข้าไปได้
น้ำยากันซึมมีอยู่ด้วยกัน 2 สูตร คือ สูตรน้ำกับสูตรน้ำมัน (solvent) น้ำยากันซึมสูตรน้ำมันมีราคาที่สูงกว่าเเต่จะคงสภาพอยู่ได้ยาวนาน เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าคุณสมบัติของน้ำมันจะเเยกตัวออกจากน้ำ ยกตัวอย่าง หากติดตั้งหินที่ทาน้ำยากันซึมสูตรน้ำมันไว้ด้านนอกอาคาร เมื่อฝนตกน้ำฝนจะไม่สามารถชะล้างตัวน้ำยาออกไปได้ด้วยคุณสมบัติของตัวมันเอง เเต่จะช่วยให้หยดน้ำฝนที่เกาะหินไหลผ่านไปได้ดียิ่งขึ้น
คุณลูกค้าอาจจะมีคำถามในใจว่า หลังจากทาน้ำยากันซึมแล้ว เราจะทราบได้อย่างไร ว่าการป้องกันนั้นได้ผล? ทางเราจะทดสอบโดยการหยดน้ำลงบนหน้าหิน หลังจากผ่านไป 3 นาที หากหยดน้ำยังคงสภาพเป็นหยดน้ำได้อยู่ เเสดงว่าเคลือบได้อย่างทั่วถึงและน้ำยากันซึมมีคุณภาพ เเต่ถ้าหยดน้ำซึมลงบนหิน เเสดงว่ายังเคลือบได้ไม่ทั่วหรืออาจจะต้องพิจารณาที่คุณภาพของน้ำยากันซึม ทางเราอยากให้คุณลูกค้าโน๊ตไว้ด้วยว่า ตัวน้ำยากันซึมไม่สามารถกันพวกกรดได้ เพราะฉะนั้นต้องระวังตรงจุดนี้เป็นพิเศษ
ฟาร์อีสท์ฯ ขอเเนะนำให้คุณลูกค้าทาน้ำยากันซึมสูตรน้ำทุกๆ 1 ปี หรือสูตรน้ำมันทุกๆ 3 ปี เพื่อคงประสิทธิภาพในการปกป้องหินนั่นเอง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้ามาดูได้ที่เว็บไซต์หรือโทรติดต่อสอบถามข้อมูลเข้ามา ทางเรายินดีให้คำปรึกษาและบริการ